คิดสร้างสรรค์แบบภาพยนตร์โฆษณา
การถ่ายทอดบุคลิกภาพของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ในการสร้างภาพยนตร์โฆษณานั้น เป็นการนำวิธีการสื่อสารแนวความคิดหลักของโฆษณามาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจ และจดจำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้
กระบวนการสร้างสรรค์งานโฆษณาของนักครีเอทีฟนั้น จะต้องพยายามหาวิธีการที่จะใช้เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่มีความสำคัญในการทำให้โฆษณาออกมาประสบผลสำเร็จนั้น นักครีเอทีฟโฆษณาจึงจำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างโฆษณาออกมาเพื่อนำเสนอแก่ผู้บริโภค
การคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative thinking นั้นหมายถึงความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว การขยายขอบเขตความคิดออกไปจากกรอบความคิดแบบเดิม ๆ เพื่อนำไปสู่ความคิดในรูปแบบใหม่ ๆ ที่มีความหลากหลาย กว้างไกล หลายแง่มุม ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์นั้นก็คือ ความคิดที่ได้จะต้องเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน (New original) สามารถใช้การได้ (Workable) และเป็นความคิดที่มีความเหมาะสม (Appropriate) กล่าวคือเป็นการคิดเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งเดิม ๆ ไปสู่สิ่งแปลกใหม่ ๆ ที่ดีกว่า เรียกได้ว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นต้นกำเนิดของ นวัตกรรม (Innovation) เลยทีเดียวค่ะ
ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีความหมายแยกออกได้เป็น 3 ประเด็นหลัก นั่นก็คือ เป็นความคิดในแง่บวก (Positive thinking) เป็นความคิดหรือการกระทำที่ไม่ทำร้ายใคร (Constructive thinking) และเป็นการคิดเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ (Creative thinking)
สามารถเกิดขึ้นได้ 2 แนวทาง นั่นก็คือ ความคิดที่เริ่มมาจากจินตนาการ แล้วย้อนกลับสู่ความเป็นจริง เกิดจากการนำความฝันและจินตนาการของเราที่เป็นเพียงความคิด แต่มีความปรารถนาอยากให้มันเป็นความจริง และความคิดที่เริ่มมาจากความรู้ที่มี นำมาต่อยอดเพื่อทำให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ
ความคิดในแบบนี้จะทำให้เกิดนวัตกรรม โดยเป็นการนำความรู้หรือข้อมูลที่เรามีมาคิดพัฒนาเพื่อต่อยอด
กระบวนการทางความคิดสร้างสรรค์นั้นแบ่งออกได้ดังนี้
1.เกิดเหตุการณ์ หรือสิ่งใด ๆ ที่ทำให้กระทบความรู้สึกนึกคิด ทำให้ต้องมีการใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ให้ออกมาตามวัตถุประสงค์
2.ทำการรวบรวมข้อมูล เก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ทุกประเด็น ทุกแง่ ทุกมุม ที่เกี่ยวข้องและอาจก่อให้เกิดแนวความคิดใหม่ ๆ
3.นำข้อมูลมาแจกแจง เพื่อวิเคราะห์หาความเชื่อมโยง ดูความสัมพันธ์ของข้อมูล
4.ทำการจัดระบบความคิดของข้อมูลที่ได้ทำการแจกแจงและหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันไว้แล้ว มาสรุปเป็นความคิดที่ชัดเจนเป็นขั้นตอน
5.ทำการนำเสนอผลที่ได้จากความคิดนั้น ๆ ออกมาเพื่อทดสอบและพิสูจน์ความคิดนั้น ๆ ให้เห็นจริง
ซึ่งกระบวนการในการใช้ความคิดสร้างสรรค์สำหรับการสร้างโฆษณาจะมี
ขั้นตอนหลัก ๆ อยู่ทั้งหมด 6 ขั้นตอน โดยแต่ละขึ้นตอนจะมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน ซึ่งได้แก่
-
- การรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูล
-
- ทำการวางแผนกลยุทธ์ทางการโฆษณา
-
- พิจารณาแผนงานที่ใช้และตัดสินใจด้านกลวิธี
-
- ทำการผลิตสิ่งโฆษณาและทำการทดสอบก่อนที่จะนำมาเผยแพร่
-
- ดำเนินงานตามแผนโฆษณาที่ได้วางเอาไว้
-
- ทำการประเมินผลการโฆษณาที่เผยแพร่ออกไป
กระบวนการที่นักครีเอทีฟโฆษณาทำการสร้างสรรค์โฆษณาออกมานั้น จะมีลักษณะเป็นการสื่อสารภายในตนเอง โดยจะเริ่มจากการทำความเข้าใจในพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายเสียก่อน จนทำให้ตนเองรู้สึกเสมือนเป็นกลุ่มเป้าหมายเสียเอง เพื่อเป็นการจำลองภาพผู้ชมในอุดมคติในการมองแบบภาพรวม และแบบเจาะจงเฉพาะบุคคล เพื่อหาวิธีเข้าถึงผู้ชมให้ได้ก่อน
จากนั้นนักครีเอทีฟโฆษณาจะใช้วิธีการที่เรียกว่า ฮุคส์ ในการเข้าถึงเพื่อดึงดูดความสนใจ
โดยแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี ได้แก่ การพลิกผัน และการบังคับ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วแบบพลิกผันจะให้ผลที่ดีกว่าแบบบังคับ โดยใช้วิธีนำเสนอที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการให้ความบันเทิง การให้แง่คิด การสร้างอารมณ์ขัน สร้างความประทับใจ เป็นต้น
แนวคิดในการสร้างสรรค์งานโฆษณานั้นมีที่มาจาก 3 แหล่ง ได้แก่ แนวคิดจากคุณลักษณะของสินค้า (Product characteristic) แนวคิดจากเจ้าของสินค้า (Advertiser) และแนวคิดจากกลุ่มเป้าหมาย (Target audience)โดยจะอาศัยจากการสังเกต และประสบการณ์ของนักครีเอทีฟในการตีความเพื่อให้ได้ข้อสรุปและแนวคิดในการนำเสนองานโฆษณาที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้เป็นอย่างดีนักครีเอทีฟงานโฆษณานั้น จะมีวิธีการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย โดยจะขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้า จะเป็นในแง่ของการแสดงความเข้าอกเข้าใจจนสามารถแทนความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายได้
ซึ่งในปัจจุบันนั้นพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการสร้างสรรค์งานโฆษณาของนักครีเอทีฟโฆษณาไทยนั้นมีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ อยู่ทั้งสิ้นสี่ปัจจัยด้วยกัน
ปัจจัยในข้อแรกคือการมีแนวความคิด มุมมอง และรูปแบบการนำเสนองานโฆษณาที่ค่อนข้างไม่พัฒนา หรือย่ำอยู่กับที่ ทำให้ไม่ค่อยมีผลงานที่ดูน่าตื่นตา หรือน่าสนใจออกมาบ่อยมากนัก
ข้อถัดมาคืองานที่ทำออกมายังมีความโดดเด่นไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีการคิดนอกกรอบให้มากขึ้น ลองพาตัวเองออกมาจากสิ่งเดิม ๆ ที่เคยเป็น เราอาจจะได้แนวคิดใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงได้
ข้อที่สามคือต้องมีการพัฒนาวิสัยทัศน์ให้กว้างไกลหรือพยายามเปิดรับมุมมองและประสบการณ์ใหม่ ๆ มากขึ้นกว่าเดิม
และข้อสุดท้ายคือการคำนึงถึงการสร้างสรรค์งานโฆษณาให้ออกมามีคุณภาพและต้องตระหนักถึงรูปแบบของโฆษณาว่ามีบทบาทที่สำคัญยิ่งในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย งานที่ออกมาต้องเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์เพื่อทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ อยากรู้และอยากใช้สินค้า อันนำไปสู่การตัดสินใจเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการในที่สุด
Add Comment